หลังจากที่ทำลายสถิติคว้า 10 แชมป์ภายในปีเดียวของลี ชอง เหว่ย ด้วยการกวาด 11 แชมป์ไปแล้วนั้น เคนโตะ โมโมตะ ก็เปิดเผยว่าเขารู้สึกดีใจมากที่สามารถทำลายสถิติของตำนานลูกขนไก่มาเลเซีย แต่หนทางในอาชีพนักแบดมินตันของเขายังอีกยาวไกลนัก

โมโมตะกล่าวว่า “ผมได้ 11 แชมป์ในปีนี้ ซึ่งมันมากกว่าสถิติที่ลี ชอง เหว่ย เคยทำไว้ แต่ผมยังห่างไกลจากเขามาก ซักวันหนึ่งผมจะต้องไปถึงจุดนั้นให้ได้ และจะพยายามฝึกซ้อมให้มากขึ้น”

เขาแจ้งเกิดสุดๆ ในปี 2014 จากรายการโทมัสคัพ สไตล์การเล่นของเขาถูกเปรียบเทียบกับหลิน ตัน สมัยที่ยังหนุ่มๆ

โดยในปีนี้ เราได้เห็นแล้วว่าเคนโตะ โมโมตะ ได้ก้าวขึ้นสู่บันไดแห่งความยิ่งใหญ่

ลี ชอง เหว่ย มีอัตราการชนะอยู่ที่ 84.08% ซึ่งนี่คือเปอร์เซ็นต์สูงสุดในบรรดานักแบดมินตันชายเดี่ยว (หลังจากปี 2009 เฉพาะนักกีฬา 25 อันดับแรก) โดยตลอดเส้นทางในอาชีพของลี ชอง เหว่ย เขาชนะทั้งหมด 713 ครั้ง และแพ้ 135 ครั้ง ซึ่งเป็นตัวเลขที่ทำลายสถิติได้ยากมากในวงการแบดมินตัน แม้กระทั่งเฉพาะผู้เล่นประเภทชายเดี่ยวเองก็ตาม

ในจำนวน 139 ครั้งที่ลี ชอง เหว่ย แพ้นั้น เป็นการแพ้ให้กับหลิน ตัน และเฉิน หลง คิดเป็น 30.37%

ส่วนหลิน ตัน เขาลงแข่งทั้งหมด 794 แมตช์ รวมถึงแมตช์เหรียญทองโอลิมปิก 2 สมัย และแชมป์โลกอีก 5 สมัยด้วย เขาได้แชมป์มาหมดแล้วทุกรายการ ตลอดชีวิตการเล่นแบดมินตันของเขา มีอัตราการชนะอยู่ที่ 83.85% โดยชนะทั้งหมด 665 ครั้ง แพ้ 129 ครั้ง

นี่คือสถิติที่ยอดเยี่ยมสำหรับตำนานนักแบดมินตัน

นอกจากนี้อัตราการแพ้ของหลิน ตัน ที่คิดเป็น 28.90% เป็นการแพ้ในปี 2018-2019 เท่านั้น

นั่นหมายความว่าสถิติการชนะของเขาเมื่อก่อนปี 2018 นั้นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย และในปีนี้เขาก็อายุ 36 ปีแล้ว

ทั้งหลิน ตัน และลี ชอง เหว่ย มีอัตราการชนะมากกว่า 83% ตลอดชีวิตการเล่นแบดมินตันกว่า 15 ปี นี่จึงทำให้ทั้ง 2 คนกลายเป็นตำนานลูกขนไก่เหนือผู้เล่นคนอื่นๆ

ทางด้านเคนโตะ โมโมตะ รั้งอันดับที่ 3 ด้วยอัตราการชนะ 80.88% ตามมาติดๆ ด้วยแชมป์โอลิมปิกคนล่าสุดอย่างเฉิน หลง อยู่ที่ 79.59% และฉือ ยู่ฉี อยู่ที่ 73.97%

การที่ลี ชอง เหว่ย แขวนแร็กเก็ตไปเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2019 และหลิน ตัน ก็ตกรอบเร็วกว่าที่คิดนั้น ทำให้ทุกคนอยากรู้ว่าใครจะเป็นราชาแบดมินตันคนต่อไป ซึ่งขณะนี้ก็มีชื่อของนักกีฬาระดับท็อปที่ติดโผ เช่น เฉิน หลง, วิคเตอร์ แอ็กเซลเซ่น, โจว เทียน เฉิน และแอนโธนี กินติ้ง

อะไรที่ทำให้โมโมตะสามารถครองเกมในสนามได้แตกต่างจากผู้เล่นคนอื่นๆ ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนในปี 2019 ว่าเขามีอัตราการชนะอยู่ที่ 91.78% เขาลงแข่งทั้งหมด 73 ครั้งในปีนี้ และแพ้เพียง 6 ครั้งเท่านั้น

ย้อนกลับมาที่คำถามว่า โมตะสามารถเทียบชั้นกับหลิน ตัน และลี ชอง เหว่ย ได้จริงหรือ คำตอบก็คือยัง

เขายังมีบททดสอบใหญ่ที่รออยู่ในเดือนกรกฎาคม ปี 2020 หากเขาสามารถคว้าเหรียญทองโอลิมปิกที่โตเกียวได้สำเร็จ ก็คงจะหมดคำถาม แต่ ณ ตอนนี้เขายังต้องพิสูจน์ตัวเองอีกมากหากจะขึ้นแท่นตำนานลูกขนไก่ ซึ่งเขาก็อายุยังน้อย ไม่แน่ว่าโมโมตะอาจจะประสบความสำเร็จได้เหมือนกับ 2 ยักษ์ใหญ่แห่งวงการแบดมินตันก็เป็นได้